เรื่องราวสมัยราชวงศ์ฉิน หานอวิ๋นซี เป็นบุตรสาว ของหมอหญิงที่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ มารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก มีเพียงบิดาที่คอยดูแล หานหยุนซี เรียนรู้วิชาการแพทย์จากมารดา เมื่อมารดาเสียชีวิต นางจึงศึกษาตำราการแพทย์สืบทอดเป็นหมอหญิงรุ่นต่อมา เมื่อครั้งมารดาของ หานอวิ๋นซี มีชีวิตอยู่ เคยรักษา อาการป่วยเรื้อรังของไทเฮา จนหายประชวร ไทเฮาตอบแทนตระกูลหาน ด้วยการหมั้นหมาย หานหยุนซี ให้กับ อ๋องเจ็ดหลงเฟยเย่ แห่งแคว้นเทียนหนิง หลงเฟยเย่ เป็นชายหนุ่มอุปนิสัยนิ่งขรึม และเยือกเย็น เขามีอำนาจเป็นรองแค่เพียงฮ่องเต้ ควบคุมกองทัพทหารของแคว้นเทียนหนิง ไม่เคยหวาดหวั่นต่อสงคราม หลงเฟยเย่ไม่อยากแต่งงานกับ บุตรสาวตระกูลหาน มีชายาเป็นคนต่างแคว้น แต่ไม่อาจขัดรับสั่งของ ไทเฮา แท้จริงแล้ว ไทเฮา ใช้ประโยชน์จากการหมั้นหมาย และการแต่งงานของ หลงเฟยเย่ กับ หานอวิ๋นซี เพื่อควบคุมตระกูลหาน ไม่ให้มีอำนาจและก่อการเหิมเกริมกับแคว้น เพราะบิดาของ หานอวิ๋นซี เป็นเสนาบดีจากต่างแคว้น มีอำนาจทางทหาร ไทเฮาหวาดระแวง ว่าตระกูลหานจะเป็นภัยต่อแคว้น จึงหมั้นหมาย หานอวิ๋นซี ให้แก่หลงเฟยเย่ เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้น อีกนัยคือข่มตระกูลหาน ไว้ในอุ้งมือ การแต่งงานเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องเจ็ด ไม่ใช่เรื่องที่ดีและมีความสุข หานอวิ๋นซี ต้องทนกับความห่างเหินเย็นชาของสามี อีกทางหนึ่งต้องเผชิญกับ ความอิจฉาริษยา จากบรรดาสตรีจากในวังที่หลงรักหลงเฟยเย่ จนโดนกลั่นแกล้งทำร้ายอยู่บ่อยครั้ง เล่ห์กลอุบาย ความชิงชัง เป็นสิ่งที่นางต้องพบเจอ เกิดภัยพิบัติในแคว้นเทียนหนิง ประชาชนต่างเดือดร้อนเพราะโรคระบาด ขุนนางในราชสำนัก โกงกินเงินหลวง ที่ใช้แจกจ่ายราษฎรเพื่อบรรเทาทุกข์ โรคระบาดทำให้ผู้คนต่างล้มตายจนนับไม่ถ้วน หานอวิ๋นซีจึงใช้ความสามารถด้านการแพทย์ ออกช่วยเหลือประชาชน ด้วยความเมตตา ความดีของนางส่งผลให้หลงเฟยเย่ เริ่มลดทิฐิ และคอยให้ช่วยเหลือ เมื่อนางประสบปัญหา เพราะการออกช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นการขัดขวางการทุจริตของเหล่าขุนนาง จนเดือดร้อนอยู่บ่อยครั้ง ความสามารถของหานอวิ๋นซี สามารถขจัดโรคระบาดในแคว้น อีกทั้งยังรักษาอาการป่วยเรื้อรัง ขององค์ชาย ลบล้างการทำนายเกี่ยวกับคำสาปแช่งลงได้ ในที่สุด กลายเป็นแพทย์หญิงที่มีชื่อเสียงอีกผู้หนึ่งของราชวงศ์ฉิน เครดิต Chinese Series ถ้ามีบ้านไหนทำซับจะมาแจ้งข่าวให้ทราบกันต่อไป ติดตามชมให้ได้ใน "ตำนานหยุนซี" มเหสียอดอัจฉริยะแห่งพิษ (Legend Of Yun Xi)